My life

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

และแล้วก็ถึงวันที่ต้องเดินจากไป

                      ผมทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งนึง งานหลักของผมคือการบันทึกเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัดและรักที่สุด ผมทำงานที่นี่มา 8ปี กำลังก้าวสู่ปี่ที่9 ผมทำงานเต็มที่ไม่เคยเหนื่อยกับการทำงานที่นี่เลย ในขณะเดียวกัน ก็เล่นดนตรีกลางคืนเป็นรายได้เสริม และมีไม่กี่คนในที่ทำงานที่ทราบว่าผมทำงานพิเศษไปด้วย จนวันนึงเจ้านายทราบว่าผมทำงานกลางคืนไปด้วย ท่าทีในการไว้วางใจที่ท่านมีต่อผมก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เพราะเกรงว่าจะมาแอบหลับในที่ทำงาน แล้วมาตราการจับผิดก็ค่อยๆผุดขึ้นมา เริ่มจากส่งคนสนิทคอยมาดู แล้วสุดท้ายก็แอบมาดูเองซึ่งวันนั้นก็ดันเป็นวันที่ผมเผลอหลับจริง ซึ่งผมก็ยอมรับผิด บางครั้งที่ผมผิดพลาด ผมไม่เคยปกปิดเลย สุดท้ายก็ทนต่อความกดดันไม่ได้ หนำซ้ำยังไปมีปัญหาเรื่องผู้หญิงอีกทั้งๆที่มีภรรยาอยู่แล้ว ความกดดันบวกกับความละอายใจทำให้ตัดสินใจลาออกในปีที่9นั่นเอง
             
                     เมื่อลาออกมา ผมไม่มีงานประจำ มีเพียงงานเล่นดนตรีเพียงอาทิตย์ละ1-2วัน เงินเก็บที่ได้มาจากที่ทำงานเก่าก็เริ่มร่อยหรอ และหมดลงในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากลาออก ช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่ความลำบากของผม ผมเริ่มห่างครอบครัว ทำให้ภรรยาเริ่มต้องอยู่ตามลำพังกับลูก ดำรงค์ชีพด้วยธุรกิจรับซักรีดตามลำพัง จนต้องหันไปพึ่ง เงินนอกระบบทั้งของพวกคนไทยที่เราเรียกว่า "ไอ้โม่ง" และพวกแขกปล่อยเงินกู้ จากระยะเวลาไม่ถึงปี เมียผมมีหนี้นอกระบบ แสนกว่าบาท แต่ส่วนผมกลับไปใช้เวลากับกิ๊ก เลวมั๊ยล่ะ  ช่วงนั้นผมมีงานพิเศษสอนกลองที่ ร้านขายเครื่องดนตรีของรุ่นน้อง ซึ่งเคยนับถือกัน ตอนที่น้องคนนี้ยังไม่มีอะไร เค้ามักจะติดต่อพูดคุยกับผมเสมอ บางครั้งก็มาขอความช่วยเหลือต่างๆ ท่าทีของเค้าดูนอบน้อมมาก ให้เกียรติผมเสมอเหมือนผู้มีพระคุณคนนึง
       
                    แต่เมื่อผมต้องไปสอนที่ร้านของเค้า แรกๆเค้าก็ยังดูเหมือนคนเดิมอยู่ แต่พอนานวันเค้า จากน้องที่เคยให้ความเคารพ นบนอบกัน เปลี่ยนมาเป็นเจ้านาย ท่าทีของเค้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเจ้านายที่ชี้นิ้วสั่ง ห่วงแต่ธุระกิจของตัวเอง ที่สำคัญต่อหน้าเราก็พูดสุภาพ แต่ลับหลังกลับเอาเรื่องการเงินของเราไปนินทากับหุ้นส่วน และแล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อครอบครับผมโดนพวกนอกระบบทวงหนี้ จนต้องหลบอยู่ในบ้าง ผมออกไปไหนไม่ได้ เพราะไม่มีเงินเลยสักบาทเดียว วันนั้นเป็นคิวที่ผมต้องไปสอน ผมนิ่งอยู่นาน ตัดสินใจโทรไปอธิบายกับรุ่นน้องว่าทำไมถึงออกจากบ้านไม่ได้ วินาทีนั้นเข้าใจความรู้สึกของคนที่ได้ชื่อว่าลูกจ้างเลยว่ามันเป็นยังงัย  ตัดสินใจโทรไปบอกท่านเจ้าของร้านว่า มีปัญหาอะไร ซึ่งเหตุผลของผมทำให้เค้าไม่พอใจมาก เค้าไม่ถามสักคำว่ามันเกิดอะไรขึ้น เค้าบอกผมว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงาน และจะโอนเงินที่เหลือไปให้ ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร ผมตัดสินใจไม่รับเงินนั้น

                    หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมมานั่งทบทวนดู สาเหตุของความตกต่ำทั้งหมดของผมมันเริ่มมากจากการนอกใจภรรยาและลูกของผม ชึวิตผมเริ่มดิ่งลงตั้งแต่ผมเริ่มไม่สัตย์ซื่อต่อคนที่รักผม
ที่สำคัญผมผิดคำพูดต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะผมเป็นคริสเตียน แต่งงานภายใต้คำปฏิญาณต่อองคืพระผู้เป็นเจ้า  ผมไม่ได้บอกว่าพระเจ้าลงโทษผม แต่พระองค์ทรงตีสอนผม ให้ผมได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดของการไม่เชื่อฟัง แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ยังเมตตาผม พระองค์ยังทรงเลี้ยงดูผมไม่ให้ขาดเหลือ จริงอยู่บางครั้งผมไม่มีเงินในกระเป๋า แต่ก็เพียงไม่นานก็มักจะได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างอยู่เสมอ บางครั้งก็ได้จากคนที่เราไม่คาดคิด ที่สำคัญผมเริ่มสัมผัสได้ว่าพระองค์ได้ทรงเลือกภรรยาที่เหมาะสมกับผมให้แล้ว คนที่ให้อภัยเราเสมอแม้เราจะทำความผิดซ้ำซากแค่ไหน

                    จากเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ผมตัดสินใจเลิกกับผู้หญิงอีกคนอย่างเด็ดขาด ซึ่งตลอดเวลาที่ผมคบกับผู้หญิงคนนั้น ผมอาจจะมีความสุขทางกาย เหมือนกับที่ผู้ชายบางคนอยากได้อยากมี แต่ตรงกันข้ามความสุขทางใจกลับไม่มีเลย